นศ.ราชภัฏอุบลฯ ผุดไอเดียร์โปรเจคจบ “สร้างกุฏิดิน”
ถวายวัดบ้านเกิดเป็นสาธารณประโยชน์

          สาขาวิชาเทคโนโลยีโยธาและสถาปัตยกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ร่วมกับนักศึกษา ภาค กศ.บป. (เสาร์-อาทิตย์) และผู้มีจิตศรัทธา ได้ร่วมกันจัดสร้างและถวายกุฏิบ้านดิน ณ วัดทุ่งศรีสุข ต.ตาดทอง อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้และสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ ที่ผ่านมา

          ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร โสมณวัฒน์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาเทคโนโลยีโยธาและสถาปัตยกรรม และเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เล่าว่า โครงงานนักศึกษาในครั้งนี้ เริ่มต้นจากที่ได้มีโอกาสไปเห็นเห็นภาพชุดอาคารของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ก่อสร้างโดยใช้ดินในการทำผนัง และหลังคาทำจากโครงสร้างไม้ไผ่ลักษณะเป็นแบบรูปทรงอิสระ ร่วมสมัย หลุดออกจากรูปทรงสี่เหลี่ยมที่เราพบเห็นจนชินตา และเมื่อไปศึกษาคุณสมบัติของบ้านดินก็พบว่าน่าจะเหมาะสมกับภูมิอากาศบ้านเราคือ บ้านดินสามารถดูดซับความร้อนในช่วงกลางวัน และค่อย ๆ ปล่อยออกมาในช่วงกลางคืนทำให้ภายในบ้านมีอุณหภูมิที่คงที่และสมดุลมากกว่าบ้านที่ใช้วัสดุอย่างคอนกรีตหรือไม้ โดยในฤดูร้อนบ้านดินจะเก็บความเย็นไว้ภายในเพราะดินดูดซับความร้อนจากภายนอกช้าและในฤดูหนาวบ้านดินก็จะช่วยเก็บความอบอุ่นไว้ภายในบ้าน นอกจากนั้น ราคาในการก่อสร้างก็ถูกกว่าการสร้างบ้านด้วยวัสดุคอนกรีตหรือเหล็ก จึงซื้อหนังสือ “อยู่กับดิน” มาอ่าน เขียนโดยอาจารย์โจน จันใด ซึ่งถือเป็นปรมาจารย์การสร้างบ้านดินท่านหนึ่งในเมืองไทย และยังเป็นคนจังหวัดยโสธรเช่นเดียวกันกับผม หากแต่เพียงแค่อ่านหนังสืออย่างเดียวมันยังไม่พอ โชคดีได้มีโอกาสไปเรียนหลักสูตรระยะสั้นสำหรับการสร้างบ้านดินที่ พันพรรณ ยโสธร อ.ป่าติ้ว มี อ.โจน จันใด เป็นวิทยากร หลังจากเรียนจบมาระยะหนึ่งเลยตั้งเป็นหัวข้อโครงงานสำหรับนักศึกษา ซึ่งก็มีนักศึกษา 2 คนที่สนใจ คือ นายชานน วงษ์ละคร และนายอานนท์ วงษ์โสภา ทั้งสองเป็นนักศึกษา ภาค กศ.บป. (เสาร์-อาทิตย์) และเป็นคนจังหวัดยโสธร หลังจากได้หัวข้อไปแล้วผมก็รับเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา เลยเป็นที่มาของโครงการนี้

          ด้านนายอานนท์ วงษ์โสภา นักศึกษาสาขาวิชาเทคโนโลยีโยธาและสถาปัตยกรรม ภาค กศ.บป. เจ้าของผลงาน เล่าให้ฟังว่า ตอนแรกที่ได้ยินอาจารย์พูดถึงหัวข้อโครงงานสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 4 เกี่ยวกับการสร้างบ้านดิน ตนรู้สึกสนใจเลยชวน นายชานน วงษ์ละคร เพื่อร่วมชั้นที่มีความสนใจเหมือนกัน จึงตกลงกันว่าจะทำภาคนิพนธ์สำเร็จการศึกษาเรื่องนี้ เลยบอกกับอาจารย์ว่าหากจะสร้างแล้วก็อยากสร้างให้เป็นประโยชน์ เลยขอสร้างถวายเป็นกุฏิให้วัดทุ่งศรีสุข ต.ตาดทอง อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร ซึ่งเป็นพื้นที่บ้านเกิดของผมทั้งสองคน อาจารย์ก็เห็นด้วย จึงเริ่มจากศึกษาการก่อสร้างบ้านดินตามแนวคิดของอาจารย์โจน จันใด รวมถึงแนวทางการก่อสร้างบ้านดินในพื้นที่ต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการใช้วัสดุธรรมชาติ รวมถึงด้านกระบวนการ วิธีการ และการนำไปใช้ประโยชน์เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ประจวบเหมาะกับที่วัดทุ่งศรีสุข ต้องการที่พักสงฆ์ไว้สำหรับพระภิกษุจำพรรษา และเป็นพื้นที่ถ่ายทอดความรู้การสร้างบ้านดินแก่ผู้สนใจ

          ภารกิจสร้างบ้านดินในครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการออกแบบบ้านดิน วางแผนงาน กำหนดรูปทรง ขนาดและระยะการจัดวางต่าง ๆ จากนั้นเตรียมสถานที่ก่อสร้าง ทำความสะอาดพื้นที่ให้มีความพร้อมในการกำหนดและวางผังการก่อสร้างตามแบบที่วางไว้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ คานคอดิน เพื่อเสริมความแข็งแรงของตัวบ้านและป้องกันความชื้นจากพื้นดินเข้าสู่ตัวบ้าน จากนั้นเป็นขั้นตอนของการทำอิฐดิน โดยใช้ดินเหนียว ผสมกับดินร่วนปนทรายและแกลบที่มีอยู่ในท้องถิ่น นำมาผสมกันให้ได้อัตราส่วน โดยการย่ำในกระบะผสมปูน เพื่อให้ได้อัตราส่วนที่เหมาะสม และนำมาใส่บล็อกแม่พิมพ์แบบขนาด 5 ช่องที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นนำดินมาที่ผสมมาใส่บล็อกแล้วทำการกระทุ้งให้แน่นแล้วยกออกพร้อมกัน หลังจากนั้น ตากแดดไว้ประมาณ 5-7 วัน โดย 3 วันแรกหลังจากที่ตากแดดไว้ต้องมาพลิกอิฐ เพื่อให้โดนแดดอย่างทั่วถึง

          นายชานน วงษ์ละคร หนึ่งในเจ้าของผลงาน “กุฏิดิน” เล่าต่อว่า ในการทำอิฐดิน ข้อสำคัญควรเลือกบริเวณสร้างอิฐใกล้กับที่ก่อสร้าง เพราะอาจมีปัญหาในตอนขนย้ายได้ และดินเหนียวแต่ละพื้นที่มีความเหนียวที่แตกต่างกัน จึงควรทดสอบการผสมอิฐดินในเบื้องต้นก่อนทำอิฐจริง อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญคือ การเทพื้นคอนกรีต เพื่อความแข็งแรงและง่ายต่อการทำงาน

สำหรับการก่อผนังด้วยอิฐดิน จะนำเอาอิฐดินที่ตากแห้งแล้วมาก่อ โดยวางเป็นแนวนอนมาต่อกัน การผสมดินก่อ จะทำคล้าย ๆ การผสมเหมือนตอนที่ทำอิฐดิน ซึ่งหลังจากเราทำการก่อผนังเสร็จแล้วก็จะเป็นการติดตั้งประตูและหน้าต่าง โดยทำการไม้ค้ำยันวงกบประตูและหน้าต่าง โดยบนหน้าต่างใช้ไม้กระดานวางทับแทน ส่วนหลังคาบ้านดิน ใช้โครงสร้างเหล็กและวัสดุเมทัลชีท เพื่อความมั่นคงแข็งแรงในการใช้งาน ส่วนฝ้าเพดานภายนอก ภายใน และระบบไฟฟ้า ทำการติดตั้งในลักษณะเหมือนบ้านทั่วไป ส่วนสำคัญอีกอย่างสำหรับการทำบ้านดินคือ การฉาบผนังดิน  ซึ่งดินเหนียวที่นำมาฉาบ จะเป็นดินที่แช่น้ำไว้แล้ว 1 คืน โดยจะใช้ดินที่ตกตะกอนแล้วนำมาผสม เพื่อให้ได้ความละเอียดของผิวที่ฉาบ โดยใช้อัตราส่วนในการผสมดินฉาบ 1:1:2 (ดินเหนียว : ดินร่วนปนทราย : แกรบ) โดยใช้มือปาดดินลูบขึ้นเพื่อให้เนื้อดินเข้าสู่ก้อนอิฐโดยทั่ว และมาถึงขั้นตอนที่สร้างสีสันให้กับบ้านดินคือ การทำสีดินและการทาสีบ้านดิน โดยนำเอาสีฝุ่น ซีเมนต์ขาว ดินเหนียวร่อนละเอียด และดินร่วนปนทราย มาผสมกัน ซึ่งสีที่ได้จะออกมาตามความเหมาะสมของผู้ทำ เมื่อทาสีแห้งจึงทำการทาน้ำยาเคลือบกันซึมอีกครั้ง เพื่อป้องกันฝนและรักษาสภาพสีดิน ส่วนขั้นตอนสุดท้ายคือ การเทพื้นภายในและพื้นทางเดินซึ่งขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าในการเทพื้น

          นายอานนท์ เล่าเพิ่มอีกว่า ถึงแม้บ้านดินจะมีคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ แต่กว่าจะมาเป็นบ้านดินที่สมบูรณ์ก็นับว่าต้องเจอปัญหาอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่การทำก้อนอิฐ เนื่องจากดินแต่ละพื้นที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน การทดทอบอัตราส่วนผสมของดิน ทราย และแกลบให้เหมาะสมจะช่วยให้ก้อนอิฐดินมีคุณภาพดี ไม่แตกร้าว และมีความแข็งแรงเพียงพอ การปรับอัตราส่วนผสมให้เข้ากับสภาพดินเฉพาะพื้นที่เป็นขั้นตอนสำคัญ และควรทำก้อนอิฐดินในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ก่อสร้าง เนื่องจากก้อนอิฐดินมีน้ำหนักมาก การทำอิฐดินใกล้พื้นที่ก่อสร้างจะช่วยลดปัญหาในการขนย้าย ที่สำคัญไม่ควรทำก้อนอิฐดินในฤดูฝน นอกจากต้องใช้เวลาตากก้อนอิฐดินให้แห้ง สภาพอากาศที่มีความชื้นสูงในช่วงฤดูฝนจะทำให้การแห้งช้าลง ส่งผลให้ก้อนอิฐไม่แข็งแรงหรือเกิดการแตกร้าวได้ การทำก้อนอิฐดินจึงควรทำในช่วงที่อากาศแห้งและมีแสงแดดเพียงพอ หลังจากก่อผนังเสร็จควรติดตั้งหลังคาก่อนทำการฉาบ เพราะหากทำการฉาบในขณะที่อากาศร้อนเกินไป อาจทำให้ดินแห้งเร็ว เกิดการแตกร้าวได้ง่าย การมีหลังคาจะช่วยป้องกันไม่ให้ผนังโดนแสงแดดและความร้อนโดยตรง ส่วนการทำหลังคาบ้านดิน ควรเลือกใช้โครงไม้สำหรับทำหลังคาแทนโครงเหล็ก เพราะมีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก นอกจากค่าใช้จ่ายที่ประหยัดลงยังให้ความสวยงามเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี

          “บ้านดิน” เป็นโครงสร้างที่มีความยั่งยืนและสามารถตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศและความต้องการในพื้นที่ได้ดี โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติที่หาได้ในท้องถิ่น เช่น ดินเหนียว แกลบ และดินร่วนปนทราย ซึ่งนอกจากจะช่วยลดต้นทุนในการก่อสร้างแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยการลดการใช้ทรัพยากรที่ต้องการพลังงานสูงในการผลิต เช่น คอนกรีตหรือเหล็ก จากการคำนวณต้นทุนการก่อสร้างพบว่าค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างบ้านดินเฉลี่ยประมาณ 3,750 บาท ต่อตารางเมตร หากเทียบกับการก่อสร้างบ้านพักอาศัยชั้นเดียวจะมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 12,000 บาท  ต่อตารางเมตร บ้านดินจึงมีราคาถูกกว่าถึง 3 เท่า ซึ่งเป็นการลดต้นทุนได้อย่างมาก เหมาะสำหรับการก่อสร้างบ้านพักอาศัยชั้นเดียว โดยยังคงประสิทธิภาพและความทนทานต่อสภาพอากาศได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ บ้านดินยังช่วยเสริมความยั่งยืนให้กับชุมชนด้วยการใช้วัสดุท้องถิ่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นับเป็นอีกหนึ่งผลผลิตที่มีคุณภาพของสาขาวิชาเทคโนโลยีโยธาและสถาปัตยกรรม คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ในการผลิตบัณฑิตที่มีความรู้ มีทักษะและความสมารถในวิชาชีพที่เรียนออกไปรับใช้สังคม สมกับเป็น “มหาวิทยาลัยเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน” และเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งความสุข”

#มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี